อาจารย์ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาฯ ตอบคำถามและแนะนำเทคนิค-สิ่งที่ควรรู้ก่อนที่เลือกซื้อเครื่องซักผ้าให้เหมาะกับการใช้งาน ไลพ์สไตล์และงบประมาณของแต่ละบ้าน รวมทั้งคำแนะนำในการดูแล-รักษาเครื่องซักผ้าให้ใช้งานได้นาน
ปัจจุบันนี้เครื่องซักผ้าแทบจะเรียกได้ว่าเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าพื้นฐานในบ้านไปแล้ว การเลือกซื้อเครื่องซักผ้าจึงเป็นเรื่องสำคัญ โดยผู้ซื้อควรเลือกให้ตรงกับการใช้งานและงบประมาณที่มีอย่างเหมาะสม ซึ่งเราได้แนะนำข้อสังเกตที่สำคัญๆ ให้ผู้ที่กำลังเลือกซื้อเครื่องซักผ้าใช้เป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจเบื้องต้น ดังนี้
ควรเลือกเครื่องซักผ้าแบบ 'ถังคู่' หรือ 'ฝาบน' หรือ 'ฝาหน้า'
เครื่องซักผ้าที่มีขายตามท้องตลาดอาจแบ่งออกเป็นประเภทใหญ่ๆ ได้ 2 ประเภท คือ1) เครื่องซักผ้าแบบถังคู่หรือที่เรียกกันว่า 'แบบกึ่งอัตโนมัติ' เครื่องซักผ้าประเภทนี้จะมี 2 ถัง คือ 1.ถังซัก และ 2.ถังปั่นแห้ง ซึ่งจะมีฝาถึงอยู่ด้านลน มีข้อเสียสำคัญคือผู้ใช้จะต้องย้ายผ้าเปลี่ยนถัง ซึ่งไม่ค่อยสะดวกนัก แต่มีข้อดีคือราคาถูกที่สุดในบรรดาเครื่องซักผ้าทุกประเภท โดยมีราคาประมาณ 4,000 - 8,000 บาทเท่านั้น
2) เครื่องซักผ้าแบบถังเดี่ยวหรือ 'แบบอัตโนมัติ' เป็นเครื่องที่ซักผ้าและปั่นหมาดจนเสร็จพร้อมตากได้เลย ซึ่งสามารถแบ่งย่อยเป็น 2 ประเภท คือ
1.แบบฝาบนหรือแบบ 'ถังซักแนวตั้ง' ซึ่งมีราคาตั้งแต่ 7,000 - 10,000 บาท มีข้อดีคือราคาถูก ซักผ้าเร็ว ขนาดไม่ใหญ่มาก น้ำหนักไม่มาก และตัวถึงมักทำจาก 'เรซิ่น' จึงทนทานและไม่เป็นสนิม แต่มีข้อเสียคือเสื้อผ้าอาจช้ำหรือเสียหายเร็ว และอาจซักไม่ค่อยสะอาด เนื่องจากผ้าพันกัน
ระหว่างการซัก
2.เครื่องซักผ้าฝาหน้า หรือ 'ถังซักแนวนอน' เป็นเครื่องซักผ้าที่ราคาแพงที่สุดคือประมาณ 15,000 บาทขึ้นไป ถังซักจะหมุนในแนวนอนทำให้ซักผ้าได้สะอาด ถนอมผ้า และไม่พันกัน แต่มีข้อเสียคือเปลืองไฟฟ้าและน้ำ ใช้เวลาซักนาน ตัวเครื่องใหญ่และหนัก
สิ่งที่ต้องนำมาพิจารณาก่อนซื้อ
** จำนวนผ้าที่ซัก **
เครื่องทุกรุ่นจะบอกปริมาณเสื้อผ้าที่สามารถซักได้ในแต่ละครั้งเป็นหน่วยกิโลกรัม (เสี้อผ้าแห้ง) โดยปกติแล้วจะอยู่ที่ 5 - 10 กิโลกรัม หรืออาจมากกว่า ทั้งนี้ บ้านที่มีผู้อาศัยประมาณ 4 คนจะมีเสื้อผ้าประมาณ 6 - 8 กิโลกรัมต่อการซัก 1 ครั้ง ถ้าคุณอาศัยอยู่เพียง 1 - 2 คนก็อาจเลือกรุ่นที่ซักผ้าได้น้อยกว่า ซึ่งจะมีราคาถูกกว่าด้วย
** รอบที่ใช้หมุนในการปั่นหมาด **
เครื่องซักผ้าจะระบุรอบที่ใช้ในการหมุนปั่นหมาด (บางยี่ห้ออาจเรียกว่า 'ปั่นแห้ง') เป็นจำนวนรอบต่อนาที ซึ่งจะมีตั้งแต่ 500 - 1,000 รอบต่อนาทีหรือมากกว่า โดยปกติแล้ว ถ้าจำนวนรอบยิ่งสูง การปั่นหมาดจะทำให้มีปริมาณน้ำในเสื้อน้อยกว่า ซึ่งเมื่อตากแล้วผ้าจะแห้งเร็วกว่า อย่างไรก็ตาม หากใช้รอยการปั่นสูงมากจะทำให้เสื้อผ้าเสียเร็ว โดยเฉพาะเสื้อยืด และกินไฟมากกว่า ดังนั้น รอบการปั่นทั่วไปควรเป็น 500 - 700 รอบต่อนาที
** โปรแกรมการซัก **
เครื่องซักผ้าแต่ละยี่ห้อมีโปรแกรมการซักแตกต่างกัน แต่ในความเป็นจริงแล้วแทบทุกรุ่นจะสามารถทำโปรแกรมที่จำเป็นในชีวิตประจำวันได้ ดังนี้
1.โปรแกรมซักปกติ ประกอบด้วย 3 ขั้นตอน คือ การซักด้วยผลซักฟอก การซักน้ำ 2 ครั้ง และการปั่นแห้ง
2.โปรแกรมซักผ้าปกติมาก จะเพิ่มอีก 1 ขั้นตอน คือ การซักก่อน 1 ครั้งโดยใช้ผงซักฟอก และจากนั้นจะทำตามโปรแกรมปกติ
3.โปรแกรมซักผ้าสังเคราะห์ หรือผ้าซักเบา ประกอบด้วย 3 ขั้นตอน แต่อาจมีการซักน้ำเพียง 1 ครั้ง และการปั่นแห้งที่ใช้รอบการปั่นที่ต่ำ ควรใช้น้ำยาซักแห้ง
** แผงควบคุมการทำงาน **
อาจมีแผงควบคุมการทำงานเป็นระบบ 'ดิจิตอล' หรือมีดวงไฟแสดงสถานะการซักของเครื่อง และการเลือกโปรแกรมการซักต่างๆ เป็นแบบปุ่มกดแบบไฟฟ้า หรือแบบสัมผัส โดยบางรุ่นจะใช้แบบปุ่มหมุนหรือปุ่มกดเพื่อเลือกโปรแกรมการทำงานของเครื่อง ซึ่งพบว่าปุ่มกดทั้ง 2 แบบไม่ม่ความแตกต่างกัน แต่ถ้าเป็นเรา เราจะเลือกซื้อแบบที่ไม่เป็นดิจิตอล เนื่องจากเครื่องซักผ้าต้องสัมผัสกับน้ำ อาจมีน้ำกระเด็นไปโดนหรือเข้าไปในปุ่มต่างๆ ปุ่มที่เป็นไฟฟ้าจะเสียง่าย นอกจากนี้ เครื่องซักผ้าที่ควบคุมการทำงานโดยระบบดิจิตัลลจะมีราคาแพงกว่าด้วย
** ระบบระบายน้ำของเครื่อง **
เครื่องซักผ้าฝาบน ส่วนใหญ่จะมีระบบระบายน้ำที่ไม่มีปัมพ์น้ำ ทำให้ผู้ใช้ต้องวางสายยางน้ำราบลงกับพื้น เพื่อที่จะให้เครื่องซักผ้าทำงานได้ แต่สำหรับเครื่องซักผ้าแบบฝาหน้าจะมีระบบปัมพ์ ดังนั้น ผู้ซื้อจึงต้องพิจารณาให้ดีว่าจะตั้งเครื่องซักผ้าที่ไหน โดยเฉพาะผู้ที่อาศัยในอาคารชุด
** เครื่องซักผ้าและอบผ้าในเครื่องเดียวกัน **
เครื่องซักผ้าแบบนี้ ผู้ใช้สามารถใส่ผ้าลงซักและนำผ้าสะอาดออกมารีดได้เลย โดยไม่ต้องตาก ซึ่งถือเป็นการอำนวยความสะดวกให้ผู้ใช้ แต่มีข้อเสียคือกินไฟฟ้ามากและใช้เวลาทำงานนาน สำหรับประเทศไทยที่มีแดดตลอดปี เครื่องซักผ้าประเภทนี้จึงไม่ค่อยมีความจำเป็น และยังมีราคาที่แพงมากอีกด้วย
การดูแล-รักษา
1.ควรติดตั้งสายดิน
เนื่องจากเครื่องซักผ้าอาจมีไฟรั่วได้ และมีอันตรายพอๆ กับเครื่องทำน้ำอุ่น ดังนั้น จึงควรติดตั้งสายดินเสมอ โดยเฉพาะเครื่องซักผ้าที่มีตัวถังเป็นโลหะ
2.ป้องกันหนูและแมลง
เครื่องซักผ้ามีความชื้นสูง จึงเป็นที่อาศัยของหนูและแมลงสาย ซึ่งอาจกัดแทะสายไฟและท่อน้ำสร้างความเสียหายได้ ปัจจุบันผู้ผลิตมักทำตะแกรงปิดใต้เครื่องเพื่อป้องกันสัตว์ ดังนั้น ผู้ซื้อควรตรวจสอบด้วยว่า มีตะแกรงหรือไม่
3.ผงซักฟอกที่ใช้
ผงซักฟอกมีความสำคัญกับเครื่องซักผ้าอย่างมาก เพราะผงซักฟอกจะมีความสามารถในการทำความสะอาดแตกต่างกัน เช่น ผงซักฟอกสำหรับเครื่องซักผ้ามักมีฟองน้อยและมีสูตรผสมที่ค่อนข้างแรง จึงไม่เหมาะกับการซักมือเด็ดขาด ขณะที่ผงซักฟอกสำหรับซักมือ แม้จะมีราคาถูกกว่า ก็ไม่ควรนำมาใช้กับเครื่องซักผ้า เพราะจะมีฟองมาก ทำให้ฟองอาจล้นออกและทำความเสียหายต่อเครื่องหรือวงจรไฟฟ้าได้ รวมทั้งยังซักผ้าได้ไม่ดีอีกด้วย
4.การทำความสะอาดเครื่องซักผ้า (ด้านใน)
คนส่วนมากเข้าใจว่า เครื่องซักผ้าสะอาดอยู่แล้วตลอดเวลา แต่ความจริงแล้วเราควรทำความสะอาดเครื่องซักผ้าด้านใน โดยเฉพาะบริเวณที่ใส่ผงซักฟอกและน้ำยาปรับผ้านุ่ม เพราะหากไม่ได้ทำความสะอาดไปนานๆ จะเกิดราดำ ส่งผลให้ผ้าหมองคล้ำได้ นอกจากนี้ ควรทำความสะอาดท่อน้ำทิ้งด้วย เพราะจะมีเศษผ้า และอื่นๆ ติดอยู่ อย่างไรก็ตาม ควรเรียกใช้บริการทำความสะอาดจากศูนย์บริการ และไม่ควรทำความสะอาดเอง เพราะการทำความสะอาดจะเกี่ยวข้องกับระบบไฟฟ้าด้วย
5.เมื่อเลิกใช้ต้องถอดปลั๊ก - ปิดก็อกน้ำ
เครื่องซักผ้าส่วนใหญ่ โดยเฉพาะระบบดิจิตอลและเครื่องซักฝาหน้า จะมีระบบ 'Standby Mode' ซึ่งเป็นระบบที่กินไฟตลอดเวลา ดังนั้น เมื่อใช้เครื่องไฟฟ้าเสร็จ จึงควรปิดเครื่องและถอดปลั๊กออกเพื่อความประหยัดไฟ และควรปิดก็อกน้ำเข้าด้วย เพื่อป้องกันไม่ให้หนูหรือแมลงกัดแทะ และทำให้น้ำรั่ว
-----------------------------------------
ที่มา นิตยสาร 'ฉลาดซื้อ' ฉบับที่ 89 เขียนโดย ดร.กอบชัย ภัทรกุลวณิชย์ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เครื่อข่ายนักวิชาการเพื่อผู้บริโภค
เชิญชมเครื่องซักผ้าคุณภาพดีราคาถูกของเรา